นพ.ศุภวัทน์ ตันติถาวรวัฒน์
โรคข้อสะโพกเสื่อมคือภาวะที่ข้อสะโพกมีการสึกหรอของกระดูกอ่อนและผิวข้อ ทำให้เกิดอาการปวดและการเคลื่อนไหวติดขัด ข้อสะโพกเป็นข้อต่อแบบลูกบอลและเบ้า เชื่อมระหว่างกระดูกเชิงกราน (เบ้าสะโพก) กับส่วนบนของกระดูกต้นขา (หัวกระดูกสะโพก) ซึ่งปกติผิวข้อจะมีกระดูกอ่อนปกคลุมเพื่อให้การเคลื่อนไหวราบรื่น โรคข้อสะโพกเสื่อมมักเกิดจากการเสื่อมตามอายุหรือการใช้งานมายาวนาน นอกจากนี้ยังอาจเกิดจากสาเหตุอื่น เช่น การขาดเลือดไปเลี้ยงหัวกระดูกต้นขา (พบได้บ่อยในผู้ที่ใช้ยาสเตียรอยด์เป็นเวลานาน สูบบุหรี่ หรือดื่มแอลกอฮอล์มาก) การบาดเจ็บรุนแรงที่ข้อสะโพก และการใช้งานข้อสะโพกหนักเกินไป
อาการของข้อสะโพกเสื่อมที่พบบ่อย ได้แก่ อาการปวดสะโพกหรือปวดบริเวณขาหนีบ (ข้อต่อสะโพกอยู่ลึกบริเวณขาหนีบ) โดยเฉพาะเมื่อขยับข้อสะโพกหรือรับน้ำหนักที่ขา ผู้ป่วยมักรู้สึกข้อสะโพกติดขัด เคลื่อนไหวได้น้อยลง เช่น ก้มงอหรือกางสะโพกได้ไม่เท่าเดิม นั่งพับเพียบหรือนั่งไขว่ห้างลำบากขึ้น เวลาเดินลงน้ำหนักจะปวดที่สะโพกหรือขาหนีบ และบางครั้งอาจมีอาการปวดร้าวลงมาถึงหัวเข่าข้างเดียวกันได้ อาการปวดสะโพกเหล่านี้มักเป็นมากขึ้นเรื่อย ๆ และส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวันของผู้ป่วย
การผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพกเทียม มักจะพิจารณาเมื่อการรักษาแบบประคับประคอง (เช่น การใช้ยาแก้ปวด กายภาพบำบัด หรือการใช้ไม้เท้าช่วยพยุง) ไม่สามารถบรรเทาอาการได้เพียงพอ และโรคข้อสะโพกเสื่อมส่งผลรุนแรงต่อการใช้ชีวิตประจำวันของผู้ป่วย แพทย์มักแนะนำการผ่าตัดในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการปวดสะโพกอย่างรุนแรงต่อเนื่อง แม้รับประทานยาก็ไม่ทุเลา จนกระทบต่อการทำงาน การนอนหลับ และกิจวัตรประจำวัน หรือมีอาการข้อสะโพกตึงแข็งจนเดินหรือทำกิจวัตรง่ายๆ เช่น ใส่รองเท้า-ถุงเท้า ได้ลำบาก นอกจากนี้ภาวะข้อสะโพกเสื่อมระยะรุนแรงอาจทำให้ผู้ป่วยไม่สามารถเดินลงน้ำหนักที่ขาข้างนั้นได้เลย ในกรณีดังกล่าวการผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพกเทียมอาจเป็นทางเลือกที่จำเป็นเพื่อคืนความสามารถในการเดินและลดความเจ็บปวดของผู้ป่วย
ควรย้ำว่าการผ่าตัดไม่ใช่ตัวเลือกแรกเสมอไป แพทย์จะพิจารณาการรักษาวิธีอื่น ๆ ก่อน เช่น การใช้ยาแก้อักเสบหรือยาบรรเทาปวด การทำกายภาพบำบัด การลดน้ำหนักเพื่อลดภาระข้อสะโพก ตลอดจนการปรับพฤติกรรมหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ทำให้ปวดสะโพก อย่างไรก็ตาม หากได้ลองรักษาวิธีดังกล่าวแล้วอาการยังไม่ดีขึ้น ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่แย่ลง การผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพกเทียมก็ถือเป็นการรักษาที่มีประสิทธิผลในการลดปวดและฟื้นฟูการใช้งานข้อสะโพก
การผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพกเทียม (Total Hip Replacement) เป็นการผ่าตัดเพื่อแทนที่ข้อต่อสะโพกธรรมชาติที่เสื่อมหรือเสียหายด้วยข้อเทียมที่ทำจากวัสดุต่าง ๆ เช่น โลหะ เซรามิก และพลาสติกชนิดพิเศษ ในการผ่าตัดนี้ ศัลยแพทย์ออร์โธปิดิกส์จะนำส่วนหัวของกระดูกต้นขาที่เสื่อมสภาพและกระดูกอ่อนที่ผิวข้อสะโพกออก จากนั้นใส่ส่วนข้อสะโพกเทียมเข้าไปแทนที่ โดยทั่วไปข้อสะโพกเทียมประกอบด้วย สองส่วนหลัก คือ ก้านโลหะที่มีหัวลูกกลม (มักทำจากโลหะหรือเซรามิก) ซึ่งใส่ลงไปในโพรงกระดูกต้นขาแทนหัวกระดูกเดิม และ เบ้าสะโพกเทียม (ทำจากพลาสติกแข็งพิเศษหรือเซรามิก) ที่ใส่ยึดในกระดูกเชิงกรานแทนเบ้าสะโพกเดิม ทำให้เกิดข้อต่อสะโพกใหม่แบบลูกบอล-เบ้าที่ทำงานเหมือนข้อสะโพกธรรมชาติ การยึดข้อเทียมเข้ากับกระดูกอาจทำได้โดยการใช้ซีเมนต์กระดูกทางการแพทย์ช่วยยึด หรือในบางกรณีอาจใช้ข้อเทียมชนิดที่พื้นผิวออกแบบให้กระดูกงอกยึดติดเอง
การผ่าตัดทำภายใต้การระงับความรู้สึก โดยอาจใช้การบล็อกหลัง (บล็อกไขสันหลัง) เพื่อทำให้ช่วงล่างของร่างกายชา หรือใช้การดมยาสลบขึ้นอยู่กับความเหมาะสม ระยะเวลาการผ่าตัดประมาณ 1-2 ชั่วโมง ขึ้นกับความยากง่ายและเทคนิคที่ใช้ ระหว่างผ่าตัดศัลยแพทย์จะทำการเปิดแผลบริเวณสะโพก เข้าถึงข้อสะโพกที่อยู่ลึกภายใน จากนั้นจึงทำการตัดกระดูกส่วนที่เสื่อมและใส่ข้อสะโพกเทียมเข้าแทนที่ เมื่อผ่าตัดเสร็จ แพทย์จะตรวจสอบการเคลื่อนไหวและความมั่นคงของข้อสะโพกเทียมก่อนปิดแผล เย็บแผล และนำผู้ป่วยส่งห้องพักฟื้น
ปัจจุบันการผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพกมีเทคนิคที่หลากหลาย เช่น การผ่าตัดผ่านแนวด้านหลัง (posterior approach) หรือด้านหน้า (anterior approach) ซึ่งแต่ละวิธีมีข้อดีต่างกัน แต่ล้วนมีเป้าหมายให้ผู้ป่วยฟื้นตัวไวและลดภาวะแทรกซ้อน การใช้เทคโนโลยีช่วยผ่าตัดอย่างแขนกลหรือคอมพิวเตอร์นำวิถีก็เริ่มมีบทบาทเพื่อเพิ่มความแม่นยำในการวางตำแหน่งข้อเทียมด้วย
การเตรียมความพร้อมที่ดีก่อนผ่าตัดจะช่วยให้การผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพกเทียมมีความปลอดภัยและผลลัพธ์ดียิ่งขึ้น การเตรียมตัวก่อนผ่าตัดประกอบด้วยการประเมินร่างกายและปรับสภาพร่างกายล่วงหน้า ดังนี้:
• ตรวจร่างกายอย่างละเอียด: ผู้ป่วยจะได้รับการตรวจร่างกายและตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ เอกซเรย์ปอด ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG) และการตรวจอื่น ๆ ตามความจำเป็น เพื่อประเมินความพร้อมของร่างกายก่อนผ่าตัด หากพบปัญหาสุขภาพใด ๆ เช่น โรคหัวใจ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง แพทย์เฉพาะทางที่เกี่ยวข้องจะประเมินและควบคุมอาการให้อยู่ในภาวะที่ปลอดภัยต่อการผ่าตัด
• ปรับยาและสมุนไพรที่รับประทาน: ผู้ป่วยควรแจ้งแพทย์ถึงยาที่ใช้อยู่เป็นประจำทุกชนิด รวมถึงอาหารเสริมและสมุนไพรบางอย่างเพราะอาจมีผลต่อการแข็งตัวของเลือด แพทย์อาจให้หยุดยาบางชนิดล่วงหน้า เช่น ยาละลายลิ่มเลือดหรือยาป้องกันเกล็ดเลือด ควรหยุดก่อนผ่าตัดประมาณ 1 สัปดาห์ ยากลุ่มต้านการอักเสบข้อบางชนิด (เช่น ยารูมาตอยด์) อาจต้องงด 2 สัปดาห์ก่อนผ่า รวมถึงงดสมุนไพรและอาหารเสริมบางประเภท (เช่น น้ำมันปลา โสม แปะก๊วย กระเทียมเม็ด เป็นต้น) ที่อาจเพิ่มความเสี่ยงเลือดออกตามคำแนะนำของแพทย์ อย่างไรก็ดี ยาที่จำเป็นต่อการควบคุมโรคประจำตัว (เช่น ยาความดันหรือยาหัวใจ) ส่วนใหญ่ยังคงรับประทานต่อเนื่องได้จนถึงวันผ่าตัด แต่ทั้งนี้ควรยืนยันกับแพทย์ถึงแนวทางการใช้ยาก่อนผ่าตัดทุกชนิด
• งดสูบบุหรี่และแอลกอฮอล์: หากผู้ป่วยสูบบุหรี่ ควรงดอย่างน้อย 4-6 สัปดาห์ก่อนผ่าตัด เพราะการสูบบุหรี่เพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อระบบทางเดินหายใจและแผลหายช้า ส่วนการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก็ควรงดหรือลด เพราะอาจรบกวนการให้ยาระงับความรู้สึกและการฟื้นตัว
• รักษาสุขอนามัยร่างกายและช่องปาก: ก่อนวันผ่าตัดควรดูแลสุขภาพฟันและช่องปากให้เรียบร้อย หากมีฟันผุ เหงือกอักเสบ หรือเล็บขบ ให้รักษาให้หายก่อน เพราะการติดเชื้อเล็ก ๆ น้อย ๆ ในร่างกายอาจเป็นแหล่งแพร่เชื้อสู่ข้อเทียมภายหลังการผ่าตัดได้ นอกจากนี้ควรทำความสะอาดร่างกาย สระผม และตัดเล็บให้เรียบร้อยในคืนก่อนวันผ่าตัด
• งดการโกนขนบริเวณที่จะผ่าตัด: ห้ามโกนขนที่บริเวณสะโพกหรือต้นขาอย่างน้อย 5 วันก่อนผ่าตัด เพื่อป้องกันการเกิดบาดแผลหรือการติดเชื้อที่ผิวหนังบริเวณนั้น
• ควบคุมน้ำหนักและออกกำลังกายเบา ๆ: หากน้ำหนักตัวมาก ควรควบคุมอาหารเพื่อลดน้ำหนักลงบ้างก่อนผ่าตัด จะช่วยลดภาระแก่ข้อสะโพกเทียมและลดความเสี่ยงภาวะแทรกซ้อน นอกจากนี้การออกกำลังกายเบา ๆ เพื่อเสริมความแข็งแรงกล้ามเนื้อรอบสะโพกและเพิ่มความยืดหยุ่นข้อต่อล่วงหน้าจะเป็นประโยชน์ต่อการฟื้นฟูหลังผ่า แต่ควรทำอย่างระมัดระวังตามคำแนะนำของนักกายภาพบำบัด
• พักผ่อนให้เพียงพอ: ก่อนวันผ่าตัด ผู้ป่วยควรนอนหลับพักผ่อนให้เต็มที่ เพื่อลดความวิตกกังวลและเตรียมร่างกายให้พร้อม รวมถึงงดน้ำและอาหารอย่างน้อย 6-8 ชั่วโมงก่อนเวลาผ่าตัด (ตามคำสั่งแพทย์หรือวิสัญญีแพทย์) เพื่อความปลอดภัยในการให้ยาระงับความรู้สึก
ในวันผ่าตัด ผู้ป่วยควรมาถึงโรงพยาบาลตามเวลานัดหมาย พร้อมเอกสารประจำตัวและประวัติการรักษาที่จำเป็น เจ้าหน้าที่พยาบาลจะตรวจวัดสัญญาณชีพ ชั่งน้ำหนัก และสอบถามประวัติสุขภาพเบื้องต้น รวมถึงตรวจสอบเรื่องการแพ้ยาหรืออาหาร จากนั้นผู้ป่วยจะถูกเตรียมความพร้อม เช่น ถอดเครื่องประดับ ฟันปลอม คอนแทคเลนส์ อาบน้ำเปลี่ยนใส่ชุดของโรงพยาบาล ก่อนที่จะพบศัลยแพทย์และวิสัญญีแพทย์เพื่อทำเครื่องหมายตำแหน่งผ่าตัดและเลือกวิธีระงับความรู้สึกตามความเหมาะสม เมื่อทุกอย่างพร้อมจึงนำผู้ป่วยเข้าสู่ห้องผ่าตัด
หลังเสร็จสิ้นการผ่าตัด ผู้ป่วยจะถูกย้ายไปยังห้องพักฟื้น (Recovery room) เพื่อสังเกตอาการในช่วงแรก จนกระทั่งยาชาหรือยาสลบหมดฤทธิ์ บุคลากรทางการแพทย์จะตรวจวัดความดันโลหิต ชีพจร ระดับความรู้สึกตัว และประเมินความเจ็บปวดของผู้ป่วยอย่างใกล้ชิดในช่วงชั่วโมงแรกๆ หลังผ่าตัด หากผู้ป่วยรู้สึกปวดแผล แพทย์จะให้ยาแก้ปวดตามความเหมาะสม โดยทั่วไปผู้ป่วยสามารถเริ่มจิบน้ำหรือรับประทานอาหารอ่อน ๆ ได้ภายในไม่กี่ชั่วโมงหลังผ่าตัด (หากไม่มีอาการคลื่นไส้อาเจียนจากยาสลบ)
ระยะนอนโรงพยาบาล: ระยะเวลาที่ต้องนอนพักในโรงพยาบาลหลังผ่าตัดขึ้นอยู่กับสภาพของผู้ป่วยแต่ละราย ปกติประมาณ 3-5 วันในกรณีผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพกทั่วไป แต่ในปัจจุบันบางโรงพยาบาลที่มีระบบดูแลทันสมัย ผู้ป่วยที่แข็งแรงดีอาจกลับบ้านได้ในวันรุ่งขึ้นหรือภายใน 1-2 วันหลังผ่าตัด หากแพทย์ประเมินว่าปลอดภัยแล้ว อย่างไรก็ตาม หากผู้ป่วยยังเจ็บมาก เคลื่อนไหวไม่คล่อง หรือมีภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้น ก็อาจต้องพักรักษาตัวนานขึ้นจนกว่าจะพร้อมกลับบ้าน
การป้องกันภาวะแทรกซ้อนทันที: หลังผ่าตัดใหม่ ๆ การป้องกันลิ่มเลือดอุดตันเป็นเรื่องสำคัญ แพทย์อาจให้ผู้ป่วยใส่อุปกรณ์รัดขาบีบเป็นจังหวะหรือใส่ถุงน่องชนิดพิเศษที่ช่วยป้องกันเลือดคั่งในหลอดเลือดที่ขา นอกจากนี้จะกระตุ้นให้ผู้ป่วยลุกนั่งและเริ่มขยับเขยื้อนร่างกายโดยเร็วภายในวันแรกหลังผ่า เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนเลือด บางรายแพทย์อาจสั่งยาฉีดหรือยารับประทานที่ช่วยป้องกันการเกิดลิ่มเลือดให้ใช้ต่อเนื่องกันหลายสัปดาห์ขึ้นกับความเสี่ยงของผู้ป่วยแต่ละคน นอกจากนี้ควรฝึกหายใจลึก ๆ และไอเบา ๆ เป็นระยะ เพื่อป้องกันภาวะปอดแฟบหรือเสมหะคั่งค้างในปอดหลังการดมยาสลบ
การดูแลแผลผ่าตัด: แผลผ่าตัดที่สะโพกโดยทั่วไปจะถูกปิดด้วยวัสดุปิดแผลกันน้ำ ทำให้ผู้ป่วยสามารถทำความสะอาดร่างกายหรืออาบน้ำได้ตั้งแต่วันแรก ๆ หลังผ่าโดยไม่ทำให้แผลเปียก (ขึ้นกับคำแนะนำของแพทย์) แพทย์มักใช้ไหมละลายในการเย็บแผลใต้ผิวหนังและปิดแผลภายนอกด้วยกาวหรือพลาสเตอร์ ช่วยให้ไม่ต้องตัดไหมในภายหลัง ผู้ป่วยควรรักษาความสะอาดบริเวณแผล เลี่ยงการขยับขาแรง ๆ ที่อาจกระทบกระเทือนแผล และสังเกตอาการผิดปกติที่อาจบ่งบอกการติดเชื้อ เช่น แผลบวมแดงมากขึ้น มีหนองหรือไข้ หากมีอาการเหล่านี้ควรรีบแจ้งแพทย์
การเริ่มเคลื่อนไหวและกายภาพบำบัดเบื้องต้น: ภายหลังผ่าตัด การปฏิบัติตัวหลังผ่าตัดที่ถูกต้องคือการเริ่มเคลื่อนไหวในเวลาที่เหมาะสม ภายใน 24 ชั่วโมงหลังผ่าตัด ทีมกายภาพบำบัดมักจะเข้ามาช่วยให้ผู้ป่วยลองลุกนั่งที่ขอบเตียง หัดยืน และเดินด้วยอุปกรณ์ช่วยพยุง เช่น ไม้เท้าค้ำหรือวอล์คเกอร์ อย่างระมัดระวัง ส่วนใหญ่สามารถยืนลงน้ำหนักบางส่วนที่ขาข้างผ่าตัดได้ภายในวันหรือสองวันหลังผ่าตัด โดยจะใช้เครื่องพยุงช่วยเดินไปก่อน แล้วค่อย ๆ เพิ่มน้ำหนักที่ลงขาตามลำดับเมื่ออาการปวดลดลงและกล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้น นักกายภาพจะแนะนำท่าออกกำลังกายง่าย ๆ เพื่อบริหารกล้ามเนื้อสะโพก ต้นขา และเข่า เช่น การกระดกข้อเท้า การเกร็งกล้ามเนื้อต้นขา ซึ่งควรทำเป็นประจำเพื่อป้องกันกล้ามเนื้ออ่อนแรงและภาวะแทรกซ้อนอย่างลิ่มเลือด
ก่อนกลับบ้าน แพทย์และพยาบาลจะให้คำแนะนำการดูแลตัวที่บ้าน อย่างครบถ้วน ผู้ป่วยและญาติควรวางแผนจัดเตรียมบ้านให้เหมาะสม เช่น จัดพื้นที่ชั้นล่างสำหรับพักฟื้นเพื่อลดการขึ้นลงบันได เก็บของใช้ที่จำเป็นให้อยู่ในระยะเอื้อมถึงโดยไม่ต้องก้มโค้งหรืเอื้อมมากเกินไป เตรียมอุปกรณ์ที่อำนวยความสะดวก เช่น เก้าอี้นั่งถ่ายชนิดมีที่รองสูง เพื่อลดการย่อตัวเวลาเข้าห้องน้ำ หรือเก้าอี้อาบน้ำสำหรับนั่งอาบ ลดความเสี่ยงการลื่นล้ม หากเป็นไปได้ ควรมีญาติหรือผู้ดูแลคอยช่วยเหลือเรื่องอาหารการกินและกิจวัตรประจำวันในช่วงสัปดาห์แรก ๆ หลังผ่าตัดด้วย
ภาพแสดง filmหลังผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพกเทียม
หลังผ่าตัด การฟื้นฟูสมรรถภาพถือเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งที่จะทำให้ผู้ป่วยกลับมาใช้ชีวิตได้ใกล้เคียงปกติ การทำกายภาพบำบัดอย่างต่อเนื่องจะช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อรอบข้อสะโพก เพิ่มความยืดหยุ่น และฝึกการทรงตัวเดินให้มั่นคง ผู้ป่วยควรปฏิบัติตามโปรแกรมกายภาพบำบัดที่โรงพยาบาลจัดให้ระหว่างพักรักษาตัว และหลังกลับบ้านแล้วก็ควรทำแบบฝึกหัดที่ได้รับแนะนำต่อไปสม่ำเสมอ
ในช่วงสัปดาห์แรกหลังผ่า ผู้ป่วยมักต้องใช้เครื่องช่วยเดิน เช่น ไม้เท้าค้ำสองข้าง (walker) หรือไม้เท้าสี่ขา เพื่อช่วยพยุงน้ำหนักขณะเดิน ป้องกันการหกล้ม โดยทั่วไปภายใน 1-2 สัปดาห์ ผู้ป่วยอาจเปลี่ยนมาใช้ไม้เท้าธรรมดาได้เมื่อเดินได้มั่นคงขึ้น และมักไม่ต้องใช้ไม้เท้าหลังผ่าตัดประมาณ 4-6 สัปดาห์เมื่อเดินได้คล่องแล้ว ในระหว่างนี้ ผู้ป่วยจะได้รับการฝึกเพิ่มระยะทางและความถี่ในการเดินทุกวัน ๆ ตามความทนไหวของร่างกาย นอกจากการเดินแล้ว การบริหารกล้ามเนื้อรอบข้อสะโพกและเข่าก็มีความสำคัญ เช่น การออกกำลังเหยียดงอข้อเข่า การยกขาไปด้านข้าง เป็นต้น ซึ่งนักกายภาพจะสอนให้ผู้ป่วยทำอย่างถูกวิธี
ระยะเวลาการฟื้นตัวเต็มที่จากการผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพกจะแตกต่างกันไปแล้วแต่บุคคล อายุ และสภาพร่างกายพื้นฐาน แต่โดยทั่วไปภายในประมาณ 3 เดือน ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมีอาการดีขึ้นชัดเจน เดินและทำกิจวัตรได้คล่องแคล่วขึ้นมาก และอาการปวดลดลงอย่างมาก (บางรายหายปวดสนิท) การฟื้นฟูยังคงดำเนินต่อไปและอาจเห็นพัฒนาการต่อเนื่องนานถึง 6 เดือน - 1 ปีหลังผ่าตัด กว่าจะเข้าที่เข้าทางอย่างสมบูรณ์ ดังนั้นผู้ป่วยควรใจเย็นและทำตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
ระหว่างการฟื้นฟู ควรหลีกเลี่ยงการหักโหมหรือล้มกระแทก เพราะอาจทำให้ข้อสะโพกเทียมได้รับบาดเจ็บ ผู้ป่วยควรสวมรองเท้าหุ้มส้นที่กระชับกันลื่นเมื่อต้องเดิน และจัดบ้านให้ปลอดภัย (เก็บของเล่นหรือพรมที่ทำให้สะดุดล้มได้) หากมีอาการผิดปกติ เช่น ปวดบวมมากขึ้น หรือรู้สึกข้อสะโพกไม่มั่นคง ควรรีบกลับไปพบแพทย์เพื่อตรวจประเมินเพิ่มเติม
แม้การผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพกเทียมจะถือเป็นหัตถการที่มีความปลอดภัยสูงและได้ผลดีในการลดอาการปวด แต่ก็เหมือนกับการผ่าตัดใหญ่ทั่วไปที่มีความเสี่ยงและอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ ผู้ป่วยควรทราบความเสี่ยงเหล่านี้ล่วงหน้า:
• การเกิดลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดดำที่ขา เนื่องจากหลังผ่าตัดผู้ป่วยเคลื่อนไหวได้น้อย เลือดอาจไหลเวียนช้าลงและเกาะกันเป็นลิ่มในหลอดเลือดดำขาลึก ซึ่งลิ่มเลือดนี้อาจหลุดไปอุดหลอดเลือดที่ปอดหรืออวัยวะสำคัญได้ แพทย์มักให้ยาละลายลิ่มเลือดหรือใส่อุปกรณ์ป้องกัน เช่น ถุงน่องแบบรัดหรือเครื่องบีบขาเป็นจังหวะ เพื่อป้องกันภาวะนี้
• การติดเชื้อ อาจเกิดขึ้นได้ทั้งบริเวณแผลผ่าตัดภายนอกหรือภายในรอบ ๆ ข้อสะโพกเทียม หากเกิดการติดเชื้อเล็กน้อยมักรักษาด้วยยาปฏิชีวนะได้ แต่หากเป็นการติดเชื้อรุนแรงลึกถึงข้อเทียม อาจจำเป็นต้องผ่าตัดนำข้อเทียมออกเพื่อกำจัดเชื้อแล้วใส่กลับเข้าไปใหม่หลังการรักษาการติดเชื้อ
• กระดูกแตกหักระหว่างผ่าตัด บางกรณีที่กระดูกของผู้ป่วยเปราะหรือมีโรคกระดูกพรุน ส่วนของกระดูกสะโพกหรือกระดูกต้นขาอาจเกิดรอยร้าวหรือแตกหักขณะใส่ข้อเทียม หากรอยแตกเล็กน้อยอาจหายเองได้ แต่ถ้าแตกมากแพทย์จะยึดตรึงด้วยลวดหรือแผ่นโลหะเพิ่มเติม
• ข้อสะโพกหลุด (Dislocation) หลังผ่าตัดใหม่ ๆ ข้อสะโพกเทียมอาจหลุดได้หากขยับผิดท่าทาง โดยเฉพาะการงอหรือบิดสะโพกมากเกินไปในช่วง 2-3 เดือนแรก ถ้าข้อสะโพกเทียมหลุด แพทย์จำเป็นต้องใส่ข้อให้เข้าที่ภายใต้การดมยาสลบ หรือในกรณีที่หลุดซ้ำบ่อย ๆ อาจต้องผ่าตัดแก้ไขเพื่อทำให้ข้อมั่นคงขึ้น
• ความยาวขาสองข้างไม่เท่ากัน บางครั้งหลังผ่าตัดอาจพบว่าขาข้างที่ผ่าตัดยาวหรือสั้นกว่าอีกข้างเล็กน้อย สาเหตุอาจมาจากความตึงตัวของกล้ามเนื้อรอบสะโพกที่เปลี่ยนไปหรือเทคนิคการวางข้อเทียม แพทย์จะพยายามปรับความยาวให้ใกล้เคียงกันที่สุด หากความยาวต่างกันมากอาจต้องใช้พื้นรองเท้าช่วย แต่ส่วนใหญ่แล้วความแตกต่างเล็กน้อยมักไม่เป็นปัญหาและปรับตัวได้ในไม่กี่เดือน
• ข้อสะโพกเทียมหลวม/สึกหรอ ในระยะยาว (หลายปีหลังผ่าตัด) ข้อเทียมอาจหลวมตัวจากกระดูกหรือมีการสึกของวัสดุ ทำให้เกิดอาการปวดสะโพกขึ้นอีกได้ ภาวะนี้พบไม่บ่อยนักในข้อเทียมรุ่นใหม่ ๆ ที่มีความทนทานสูง แต่อาจเกิดขึ้นได้และต้องผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพกเทียมใหม่ (revision)
• การบาดเจ็บของเส้นประสาท พบได้น้อยมากแต่เป็นไปได้ เส้นประสาทใหญ่ที่เลี้ยงขาอาจถูกยืดหรือกดเบียดระหว่างการผ่าตัด ทำให้เกิดอาการชาหรืออ่อนแรงที่ขาชั่วคราว ในกรณีส่วนใหญ่อาการจะค่อย ๆ ดีขึ้นตามเวลา หากแต่ในบางกรณีที่รุนแรงอาจมีความผิดปกติหลงเหลืออยู่บ้าง
นอกจากที่กล่าวมา ยังมีความเสี่ยงทั่วไปจากการผ่าตัดและดมยาสลบ เช่น ปัญหาจากยาชาหรือยาสลบ ภาวะเลือดออกมากผิดปกติ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ภาวะแทรกซ้อนรุนแรงเหล่านี้พบได้น้อย เมื่อเทียบกับประโยชน์ที่จะได้รับจากการผ่าตัด ในมือทีมแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญและการดูแลหลังผ่าตัดที่ดี ความเสี่ยงเหล่านี้สามารถป้องกันและลดโอกาสเกิดได้อย่างมาก
หลังผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพกเทียม ผู้ป่วยจำเป็นต้องปรับตัวและระมัดระวังในการใช้ชีวิตประจำวันบางอย่างเพื่อป้องกันการเกิดปัญหากับข้อสะโพกเทียม โดยเฉพาะในช่วง 3 เดือนแรกหลังผ่าตัด เป็นช่วงที่ข้อสะโพกเทียมยังยึดติดกับกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อรอบ ๆ ไม่แน่นแข็งแรงเต็มที่ ผู้ป่วยจึงควรปฏิบัติตามข้อควรระวังเหล่านี้อย่างเคร่งครัด:
• หลีกเลี่ยงท่าทางที่เสี่ยงต่อข้อสะโพกหลุด: ในช่วงแรกหลังผ่า ห้ามงอสะโพกเกินประมาณ 90 องศา (เช่น การนั่งยอง ๆ นั่งต่ำ ๆ หรือก้มตัวผูกเชือกรองเท้า) และไม่บิดหมุนข้อสะโพกรุนแรง หรือไขว้ขาข้างผ่าตัดพาดขาอีกข้างทับกัน การมีเพศสัมพันธ์สามารถทำได้หลังผ่าตัดเมื่อรู้สึกพร้อม แต่ควรเลือกท่าที่ปลอดภัยและหลีกเลี่ยงการบิดงอสะโพกมากเกินไปเช่นกัน การปฏิบัติตัวเหล่านี้จะช่วยลดความเสี่ยงที่ลูกสะโพกเทียมจะเคลื่อนหลุดออกจากเบ้า
• ใช้อุปกรณ์ช่วยตามความเหมาะสม: ภายใน 1-3 เดือนแรก ควรนั่งเก้าอี้ที่มีที่นั่งสูงพอประมาณและมีพนักพิงแข็งแรง เพื่อให้ง่ายต่อการลุก-นั่งโดยไม่ต้องงอสะโพกมาก เก้าอี้ไม่ควรต่ำหรืออ่อนนุ่มเกินไป (เช่น โซฟานุ่มจมหรือเก้าอี้พลาสติกเตี้ย) นอกจากนี้การใช้หมอนรองระหว่างเข่าเวลานอนหงายหรือนอนตะแคง จะช่วยป้องกันไม่ให้ขาไขว้กันโดยไม่รู้ตัวขณะหลับ
• ระวังการขึ้น-ลงบันได: ช่วงแรกควรหลีกเลี่ยงการขึ้นลงบันไดบ่อย ๆ หากจำเป็นให้ใช้วิธีขึ้นทีละขั้นช้า ๆ โดยก้าวขาข้างที่ไม่ได้ผ่าตัดขึ้นก่อน (เวลาเดินขึ้น) และเวลาลงให้ยื่นขาข้างที่ผ่าตัดลงก่อน เพื่อไม่ให้ข้อสะโพกข้างที่ผ่าตัดรับน้ำหนักมากเกินไป ใช้ราวบันไดช่วยพยุงตัวทุกครั้งและมีผู้ช่วยเหลือหากรู้สึกไม่มั่นคง
• ดูแลน้ำหนักตัวและออกกำลังกายที่เหมาะสม: หลังผ่านช่วงฟื้นฟูแรก ๆ แล้ว ผู้ป่วยควรรักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานเพื่อลดภาระการรับน้ำหนักของข้อสะโพกเทียมในระยะยาว การออกกำลังกายสม่ำเสมอเป็นสิ่งที่ดี แต่ควรเลือกชนิดที่มีแรงกระแทกต่ำ (Low-impact) เช่น เดินออกกำลังเบา ๆ ว่ายน้ำ ปั่นจักรยานอยู่กับที่ หรือเล่นกอล์ฟ ซึ่งไม่ลงน้ำหนักกระแทกข้อสะโพกมากเกินไป กิจกรรมที่ควรหลีกเลี่ยงอย่างถาวรได้แก่ การวิ่งระยะไกล การกระโดด หรือกีฬาที่ปะทะรุนแรง (เช่น ฟุตบอล บาสเกตบอล) เพราะอาจทำให้ข้อเทียมสึกหรอหรือหลวมเร็วขึ้นกว่าปกติจากแรงกระแทกสะสม
• ติดตามการรักษาและระวังภาวะแทรกซ้อนในระยะยาว: ผู้ป่วยควรไปตรวจติดตามอาการกับแพทย์ตามนัดอย่างสม่ำเสมอ เพื่อตรวจดูความเรียบร้อยของข้อสะโพกเทียมและประเมินการฟื้นตัว หากผ่านไปหลายปีควรเอกซเรย์ตรวจเป็นระยะเพื่อตรวจหาการสึกหรือหลวมของข้อเทียมตั้งแต่ระยะแรก ๆ การติดเชื้อของข้อสะโพกเทียมสามารถเกิดขึ้นได้แม้หลังผ่าตัดไปนานหลายปี หากมีการติดเชื้อในกระแสเลือดจากส่วนอื่น (เช่น ฟันเป็นหนอง ทางเดินปัสสาวะอักเสบ เป็นต้น) แล้วเชื้อลามมาที่ข้อเทียม ดังนั้นหากจะทำฟันหรือผ่าตัดใหญ่อื่น ๆ ผู้ป่วยควรแจ้งแพทย์ว่าตนมีข้อสะโพกเทียม แพทย์อาจพิจารณาให้ยาปฏิชีวนะป้องกันก่อนทำหัตถการบางอย่างตามความเหมาะสม และหากพบอาการผิดปกติเช่น สะโพกปวดบวมแดงร้อน หรือมีไข้ร่วมด้วย ควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจหาการติดเชื้อที่ข้อเทียม
โดยสรุปในระยะยาว ผู้ป่วยที่ได้รับการเปลี่ยนข้อสะโพกเทียมสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้เกือบปกติ สามารถทำกิจกรรมและออกกำลังกายเบา ๆ ได้หลายอย่าง แต่ควรมีวินัยในการดูแลตนเอง เลี่ยงกิจกรรมที่จะทำให้ข้อสะโพกเทียมสึกหรอหรือหลุดหลวมก่อนเวลาอันควร การปฏิบัติตัวตามคำแนะนำแพทย์และพบแพทย์ติดตามผลจะช่วยให้ข้อสะโพกเทียมของผู้ป่วยมีอายุการใช้งานที่ยาวนานและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ผู้ป่วยหลายคนสงสัยว่า “ข้อสะโพกเทียมจะใช้งานได้นานแค่ไหน” ซึ่งคำตอบคือ ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ทั้งประเภทของข้อเทียมที่ใช้ วัสดุที่ผลิต อายุและกิจกรรมของผู้ป่วย รวมถึงความถูกต้องในการผ่าตัดใส่ข้อเทียมโดยศัลยแพทย์ แต่โดยทั่วไปแล้วข้อสะโพกเทียมรุ่นใหม่ๆ มักมีอายุการใช้งานยืนยาวกว่าสมัยก่อนมาก จากข้อมูลการศึกษาทางการแพทย์พบว่า มากกว่า 90% ของข้อสะโพกเทียมยังคงใช้งานได้ดีที่เวลา 10-15 ปีหลังผ่าตัด และประมาณ 70% ยังคงอยู่ได้ดีที่ 20 ปี ในขณะที่เมื่อครบ 25 ปี ยังมีข้อสะโพกเทียมประมาณ 58% ที่ยังทำงานได้อยู่ในผู้ป่วยที่ได้รับการติดตามต่อเนื่องยาวนาน ตัวเลขนี้หมายความว่าผู้ป่วยจำนวนมากสามารถใช้ข้อสะโพกเทียมไปได้ตลอดชีวิตโดยไม่ต้องผ่าตัดเปลี่ยนใหม่ โดยเฉพาะผู้ที่ผ่าตัดในวัยสูงอายุ แต่สำหรับผู้ป่วยที่อายุน้อย (เช่น น้อยกว่า 50-60 ปี) มีโอกาสที่เมื่อเวลาผ่านไป 20-30 ปี อาจต้องรับการผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพกเทียมอีกครั้งในช่วงชีวิตหนึ่งเนื่องจากข้อเทียมเก่ามีการสึกหรอหรือหลวมตามการใช้งานระยะยาว
ข่าวดีคือเทคโนโลยีวัสดุของข้อสะโพกเทียมมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีการใช้วัสดุอย่างเซรามิกหรือพลาสติกคุณภาพสูงที่ทนการสึกได้ดีกว่าเดิม ซึ่งช่วยยืดอายุการใช้งานของข้อเทียมให้ยาวนานขึ้นมาก หลายบริษัทผู้ผลิตข้อเทียมออกแบบพื้นผิวของข้อเทียมให้ลื่นและแข็งแรง ลดการสึกจากการเสียดสีขณะเคลื่อนไหว จึงคาดว่าข้อสะโพกเทียมรุ่นใหม่จะสามารถใช้งานได้นานเกิน 25-30 ปีในผู้ป่วยจำนวนไม่น้อย ทั้งนี้ผู้ป่วยที่ได้รับการเปลี่ยนข้อสะโพกเทียมควรปฏิบัติตามคำแนะนำในการใช้ชีวิตและการออกกำลังกายดังที่ได้กล่าวไปข้างต้นร่วมด้วย เพราะแม้ข้อเทียมจะทนทานเพียงใด หากถูกใช้งานผิดวิธีหรือได้รับอุบัติเหตุกระแทกรุนแรงก็อาจทำให้อายุการใช้งานสั้นลงได้
หากข้อสะโพกเทียมเกิดหลวมหรือเสื่อมสภาพจริงๆ ในอนาคตก็สามารถแก้ไขได้โดยการผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพกเทียมใหม่ (revision surgery) แม้การผ่าตัดซ้ำจะมีความยากขึ้นกว่าเดิม แต่เทคนิคทางศัลยกรรมและข้อเทียมสำหรับการผ่าตัดแก้ไขก็พัฒนาขึ้นมากทำให้ผลลัพธ์ดีขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้นผู้ป่วยสามารถวางใจได้ว่ามีทางเลือกในการรักษาแม้ในระยะยาวข้างหน้า
ค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพกเทียมมีตั้งแต่หลักแสนบาทขึ้นไปต่อการผ่าตัดหนึ่งข้าง โดยขึ้นกับโรงพยาบาลที่เข้ารับการรักษา ประเภทและรุ่นของข้อสะโพกเทียมที่ใช้ ตลอดจนสิทธิประกันสุขภาพหรือสวัสดิการของผู้ป่วยที่สามารถเบิกจ่ายได้ สำหรับการรักษาในโรงพยาบาลเอกชน ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยในการผ่าตัดรวมค่าห้องและการพักฟื้นประมาณข้างละ 2-3 แสนบาท (ไม่รวมค่าข้อสะโพกเทียม ซึ่งราคาแตกต่างตามวัสดุและรุ่น) บางแห่งมีการเสนอเป็นแพ็กเกจ เช่น ราคา ~250,000 บาทสำหรับผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพกเทียมหนึ่งข้าง (พักรักษา 3 วัน 3 คืน) โดยยังไม่รวมค่าอุปกรณ์ข้อเทียมที่จะคิดเพิ่มตามจริง หากผู้ป่วยต้องการข้อเทียมชนิดพิเศษหรือหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด ค่าใช้จ่ายก็จะสูงขึ้นตามเทคโนโลยีที่เลือกใช้
สำหรับโรงพยาบาลรัฐบาล ค่าใช้จ่ายจะถูกกว่ามาก และผู้ป่วยสามารถใช้สิทธิการรักษาพยาบาลที่ตนมีเพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายได้อย่างมาก เช่น สิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) ครอบคลุมค่าใช้จ่ายพื้นฐานในการรักษาโรคข้อสะโพกเสื่อมด้วยการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเทียม ซึ่งรวมถึงค่าใช้จ่ายของข้อสะโพกเทียมด้วย หมายความว่าผู้ป่วยสามารถเข้ารับการผ่าตัดได้ โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเองสำหรับรายการรักษาพื้นฐาน ตามสิทธิที่มีอยู่ แม้ผู้ป่วยจะไม่มีเงินเลยก็ยังได้รับการรักษา (ทั้งนี้ในทางปฏิบัติอาจมีค่าใช้จ่ายส่วนเกินบางประการที่ผู้ป่วยต้องรับผิดชอบเอง เช่น ค่าห้องพิเศษหรือวัสดุพิเศษนอกเหนือสิทธิ เป็นต้น) นอกจากนี้ สิทธิสวัสดิการข้าราชการ และ ประกันสังคม ก็ครอบคลุมการรักษาผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพกเทียมเช่นกัน โดยข้าราชการสามารถใช้สิทธิเบิกจ่ายตรงตามเกณฑ์ที่กรมบัญชีกลางกำหนด และผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมสามารถใช้สิทธิรักษาได้ตามโรงพยาบาลคู่สัญญาในโครงการประกันสังคม
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพกเทียมเป็นการรักษาที่มีค่าใช้จ่ายสูง ผู้ป่วยควรสอบถามข้อมูลเรื่องค่าใช้จ่ายทั้งหมดจากโรงพยาบาลที่เข้ารับการรักษา รวมถึงสอบถามว่าครอบคลุมในสิทธิการรักษาของตนมากน้อยเพียงใดล่วงหน้าเสมอ ในบางกรณีโรงพยาบาลอาจให้ข้อมูลแพ็กเกจหรือประมาณค่าใช้จ่ายคร่าว ๆ ก่อนตัดสินใจเข้ารับการผ่าตัด นอกจากนี้ภาครัฐและมูลนิธิบางแห่งมักมีโครงการช่วยเหลือผู้ป่วยข้อเข่า-ข้อสะโพกเสื่อมที่ยากไร้ ให้ได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเทียมฟรีหรือมีส่วนลด ผู้ป่วยที่มีปัญหาค่าใช้จ่ายอาจลองสอบถามข้อมูลจากโรงพยาบาลรัฐหรือหน่วยงานสาธารณสุขที่เกี่ยวข้องในพื้นที่
นพ.ศุภวัทน์ ตันติถาวรวัฒน์