ประวัติศาสตร์ 1,000 ปีของโรคข้อเข่าเสื่อม
โรคข้อเข่าเสื่อม (Osteoarthritis ของข้อเข่า) เป็นโรคที่อยู่คู่มนุษยชาติมาอย่างยาวนานจนน่าเหลือเชื่อ หลักฐานทางโบราณคดีเผยว่าโรคนี้อาจเก่าแก่ที่สุดโรคหนึ่งของโลก โดยพบร่องรอยความเสื่อมของข้อในฟอสซิลมนุษย์นีแอนเดอร์ทัลและมนุษย์ยุคโบราณหลายพันปีก่อน แม้แต่มัมมี่อียิปต์และโครงกระดูกชาวโรมันโบราณก็มีการเปลี่ยนแปลงของข้อที่บ่งชี้ถึงโรคข้อเสื่อมเช่นกัน) โรคข้อเข่าเสื่อมเกิดจากกระดูกอ่อนผิวข้อสึกกร่อนจนทำให้กระดูกบดเสียดสีกัน ส่งผลให้เกิดอาการปวดข้อ เข่าฝืดตึงหลังพักการใช้งาน นอกจากนี้ยังอาจเกิดบวมรอบข้อและมีเสียงกรอบแกรบเวลาเคลื่อนไหวข้อเข่า ซึ่งล้วนเป็นอาการข้อเข่าเสื่อมที่พบได้บ่อยในผู้ป่วย แม้จะไม่มีทางรักษาให้หายขาด แต่ตลอดประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา มนุษย์พยายามหาวิธีบรรเทาอาการข้อเข่าเสื่อมและค้นหาวิธีรักษาข้อเข่าเสื่อมในรูปแบบต่าง ๆ มาโดยตลอด เรื่องราวต่อไปนี้จะพาย้อนเวลา 1,000 ปี ไปชมวิวัฒนาการของโรคข้อเข่าเสื่อมและการรักษา ผ่านยุคสมัยต่าง ๆ ราวกับอ่านนิยายประวัติศาสตร์สุขภาพที่มีทั้งความรู้และความเพลิดเพลิน
: นพ.ศุภวัทน์ ตันติถาวรวัฒน์
ยุคก่อนประวัติศาสตร์: ร่องรอยแรกของข้อเข่าเสื่อม
นักโบราณคดีค้นพบหลักฐานจากมัมมี่น้ำแข็งที่มีชื่อเสียง "เอิตซี (Ötzi)" ที่เสียชีวิตเมื่อประมาณ 5,300 ปีก่อน การวิเคราะห์ทางการแพทย์ยุคใหม่พบว่าเขามีร่องรอยของข้อเข่าเสื่อมชัดเจน ทั้งกระดูกสันหลังและเข่า ซึ่งเป็นหลักฐานแรกๆ ที่แสดงถึงโรคข้อเข่าเสื่อมอย่างชัดเจนในมนุษย์ยุคโบราณ (Kean et al., 2013) ในยุคนี้ วิธีรักษาข้อเข่าเสื่อมยังไม่ซับซ้อน มักใช้สมุนไพรหรือเทคนิคง่ายๆ เช่น การประคบร้อนหรือการกดจุดแบบโบราณเพื่อบรรเทาอาการปวดข้อเข่าเสื่อม
ภาพประกอบจำลองของ Ötzi มัมมี่น้ำแข็ง ในยุคก่อนประวัติศาสตร์ แสดงให้เห็นอาการของโรคข้อเข่าเสื่อม
ยุคอียิปต์โบราณได้ทิ้งหลักฐานไว้ชัดเจนจากมัมมี่พระราชินีเนเฟอร์ตารี (Queen Nefertari) ซึ่งนักวิทยาศาสตร์พบการสึกหรอของกระดูกข้อเข่าเช่นกัน (Panko, 2017) นอกจากนี้ชาวอียิปต์โบราณยังมีการรักษาด้วยสมุนไพรที่ผสมไขมันสัตว์เพื่อบรรเทาอาการปวดข้อเข่าเสื่อม
รูปสลักเสมียนชาวอียิปต์นั่งทำงานคุกเข่า (ประมาณ 2700 ปีก่อนคริสต์ศักราช) พบว่าท่าทำงานลักษณะนี้อาจนำไปสู่อาการข้อเสื่อมตามข้อต่อต่าง ๆ เช่น ข้อสะโพกและเข่า นักโบราณคดีพบโครงกระดูกของเสมียนอียิปต์โบราณจำนวนมากที่มีร่องรอยของโรคข้อเสื่อมซึ่งน่าจะเกิดจากท่านั่งเขียนหนังสือเป็นเวลานาน
ยุคกลาง: เมื่อชีวิตสั้น การรักษาสุดแปลก
กาลเวลาล่วงเลยมาถึงช่วงยุคกลาง (ประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 11-15) สมัยนี้ผู้คนมีอายุขัยเฉลี่ยสั้น นักมานุษยวิทยาศึกษาโครงกระดูกชาวยุคกลางจำนวนมากพบว่ากว่าครึ่งเสียชีวิตก่อนอายุ 20 ปี และอายุเฉลี่ยเพียง 25 ปีเท่านั้น ทำให้แม้มีร่องรอยข้อเสื่อมในโครงกระดูกจำนวนไม่น้อย แต่อาการก็มักอยู่ในระดับไม่รุนแรงนัก กล่าวคือเกิดการเสื่อมเล็กน้อยที่ข้อแต่ไม่ทันพัฒนาจนขั้นร้ายแรงเพราะคนส่วนใหญ่เสียชีวิตไปก่อนวัยชรา ในกลุ่มโครงกระดูกยุคกลางของอังกฤษ 695 ชิ้น พบหลักฐานข้อเข่าเสื่อมที่ส่วนกระดูกสะบ้าค่อนข้างบ่อย (14 ราย) แต่ข้อเข่าเสื่อมที่ข้อต่อเข่าจริง ๆ กลับพบน้อยมาก (เพียง 4 ราย) จึงมีการสันนิษฐานว่าการเสื่อมของข้อเข่าโดยตรงอาจเป็นปัญหาที่พบมากขึ้นในยุคหลัง ๆ สภาพแวดล้อมการทำงานในยุคกลางก็มีส่วน – ชาวนาต้องออกแรงก้มๆ เงยๆ ตลอดเวลา บ่อยครั้งพบการเสื่อมที่กระดูกสันหลังจากกระดูกงอก (osteophytes) ในโครงกระดูกชาวนายุคกลางมากกว่ายุคก่อนประวัติศาสตร์ด้วยซ้ำ อาจเพราะคนยุคกลางมีอายุยืนขึ้นเล็กน้อยจนทันเกิดการเสื่อมที่ชัดเจนขึ้นที่แนวกระดูกสันหลัง
เมื่อเกิดอาการปวดเข่าหรือข้อขึ้นมา ชาวยุคกลางมีวิธีรักษาข้อเข่าเสื่อมตามความเชื่อของยุคนั้นที่ชวนให้แปลกใจ ปรมาจารย์ทางการแพทย์ในยุคนี้ยังยึดถือทฤษฎีของแพทย์กรีกโบราณอย่างฮิปโปเครติสว่าด้วย “ธาตุทั้งสี่” หรือ ทฤษฎีขันธ์สี่ของเหลว (Four Humors) ซึ่งเชื่อว่าร่างกายมนุษย์ประกอบด้วยของเหลวพื้นฐานสี่ชนิดได้แก่ เลือด, เสมหะ, น้ำดีสีเหลือง และน้ำดีสีดำ แต่ละอย่างสัมพันธ์กับธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ และต้องอยู่ในภาวะสมดุลจึงจะมีสุขภาพดี หากธาตุใดมากเกินไปจะก่อโรค เช่น น้ำดีสีดำเกินทำให้เฉื่อยชาและปวดเมื่อย เป็นต้น แพทย์ยุคกลางจึงรักษาโรคต่างๆ ด้วยการปรับสมดุลของเหลวเหล่านี้เป็นหลัก กรณีมีอาการปวดข้อหรือไข้ แพทย์อาจวินิจฉัยว่าธาตุไฟหรือ “น้ำดีสีเหลือง” มีมากเกินไป จึงทำการเจาะเลือดหรือปล่อยเลือดคนไข้ (venesection) เพื่อลดธาตุไฟลง หรือใช้ปลิงดูดเลือด ซึ่งถือเป็นวิธีมาตรฐานในยุคนั้น หลายครั้งการรักษากลายเป็นการซ้ำเติมคนไข้อย่างน่าเห็นใจ นอกจากปล่อยเลือดแล้ว ยังมีการจ่ายยาถ่ายอย่างรุนแรง เช่น ให้กินพืชมีพิษอย่างดอกฮอลลีบรู (hellebore) เพื่อให้อาเจียนหรือถ่ายท้องออกมา หวังระบายสิ่งไม่ดีออกจากร่างกาย ส่วนการแพทย์พื้นบ้านก็มีใช้สมุนไพรประคบและน้ำมันสัตว์เช่นเดียวกับที่ชาวอียิปต์โบราณเคยใช้ ในตำรับยาของชาวอียิปต์พบว่าใช้น้ำมันไขมันผสมกับน้ำผึ้ง แป้ง ขนมปังโซดา หัวหอม ยี่หร่า และกำยาน ทำเป็นขี้ผึ้งทาถูนวดบรรเทาปวดข้อเข่าและข้ออื่นๆ สูตรทำนองนี้แพร่หลายต่อมาจนชาวนาอียิปต์ชนบทปัจจุบันก็ยังใช้น้ำมันจากไขมันสัตว์ (เช่น งูหรือตะกวด) ทาข้อเพื่อบรรเทาอาการปวดตามความเชื่อดั้งเดิมอยู่
ภาพวาดแสดงขันธ์สี่ (Four Humors) ซึ่งได้แก่ น้ำดีสีดำ (ดำ), เลือด (แดง), น้ำดีสีเหลือง (เหลือง) และเสมหะ (เขียว) แนวคิดการแพทย์เรื่องสมดุลของของเหลวทั้งสี่นี้ครอบงำการรักษาในยุคกลาง โดยเชื่อว่าการเจ็บป่วยเกิดจากของเหลวใดของเหลวหนึ่งมากหรือน้อยเกินไป ต้องใช้วิธีปรับสมดุล เช่น การปล่อยเลือด เพื่อลดของเหลวบ้างชนิดในร่างกาย
แม้การแพทย์แผนโบราณในยุคกลางจะดูน่ากลัวไปบ้าง แต่ก็ต้องเข้าใจว่าขณะนั้นความรู้ด้านกายวิภาคและพยาธิสภาพยังจำกัดมาก การรักษาส่วนใหญ่เป็นการลองผิดลองถูกและยึดตามคัมภีร์โบราณ โดยยังไม่มีความรู้เฉพาะเจาะจงเรื่องโรคข้อเข่าเสื่อมโดยตรง แพทย์ยุคกลางไม่ค่อยได้กล่าวถึงโรคข้อเสื่อมชัดเจน อาจเพราะมองว่าเป็นอาการปวดข้อทั่วไปของคนแก่ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ประกอบกับคนมักอายุไม่ยืนพอ โรคนี้จึงไม่ใช่จุดสนใจหลักเมื่อเทียบกับโรคระบาดหรือบาดแผลสงคราม อย่างไรก็ดี จุดสว่างของยุคนี้คือการเริ่มก่อตั้งสำนักแพทย์แห่งแรกๆ ในยุโรป เช่น โรงเรียนแพทย์มงเปลลิเย่ (Montpellier) ในฝรั่งเศส ที่เริ่มมีการสอนกายวิภาคด้วยการชำแหละศพมนุษย์จริงๆ เป็นครั้งแรก ปูทางไปสู่ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ในยุคต่อมา
ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา: เปิดโลกกายวิภาค
ก้าวเข้าสู่ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาหรือยุคเรอเนสซองส์ (ประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 14-16) สถานการณ์เริ่มเปลี่ยนไป ความคิดทางการแพทย์ค่อยๆ หลุดพ้นจากกรอบความเชื่อศาสนาและตำราโบราณ เปิดรับการทดลองและสังเกตตามหลักวิทยาศาสตร์มากขึ้น ยุคนี้ถือเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านที่สำคัญที่วงการแพทย์เริ่มหันมาสนใจโครงสร้างร่างกายมนุษย์อย่างละเอียด ศิลปินและนักวิทยาศาสตร์อย่างลีโอนาร์โด ดา วินชี ถึงกับลงมือชำแหละศพเพื่อศึกษาโครงกระดูกและกล้ามเนื้อ ส่วนแพทย์ผู้บุกเบิกกายวิภาคศาสตร์อย่าง อันเดรียส เวซาลิอุส (Andreas Vesalius) ก็จัดทำแผนภาพร่างกายมนุษย์ที่แม่นยำอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ผลงานของเวซาลิอุสในปี ค.ศ.1543 ชื่อ De humani corporis fabrica ได้อธิบายส่วนประกอบของข้อต่อไว้อย่างทันสมัยล้ำยุคมาก เขากล่าวถึงบทบาทของกระดูกอ่อนผิวข้อในการลดการเสียดสีระหว่างกระดูกสองชิ้นที่ประกบกันว่า “กระดูกอ่อนทำให้กระดูกข้อต่อเคลื่อนที่ต่อเนื่องกันได้โดยไม่สึกกร่อน... ถ้าไม่มีเยื่อกระดูกอ่อนที่แข็งพอและยืดหยุ่นหุ้มปลายกระดูกไว้ การเสียดสีของกระดูกแห้งๆ จะทำให้พื้นผิวข้อต่อเสียหายได้ง่าย แต่กระดูกอ่อนที่ยืดหยุ่นเล็กน้อยนี้ช่วยลดแรงกระแทกและลดการเสียดสีของกระดูกได้” นอกจากนี้เขายังสันนิษฐานถึงของเหลวหล่อลื่นในข้อซึ่งก็คือน้ำไขข้อ (synovial fluid) เปรียบเหมือนน้ำมันหล่อลื่นลดการฝืดของรอกและล้อเกวียน ความเข้าใจเรื่องหน้าที่ของกระดูกอ่อนและน้ำไขข้อของเวซาลิอุสเป็นพื้นฐานสำคัญที่ทำให้คนยุคหลังตระหนักว่าเมื่ออายุเพิ่มขึ้นกระดูกอ่อนสึก การเสียดสีในข้อต่อจะทำให้เกิดความเจ็บปวดและการอักเสบ นั่นคือกลไกของโรคข้อเสื่อมนั่นเอง
แม้ยุคเรอเนสซองส์จะยังไม่มีวิธีรักษาข้อเข่าเสื่อมใหม่ ๆ ที่มีประสิทธิภาพ (ยังคงใช้สมุนไพรและการรักษาตามอาการไปตามมีตามเกิด) แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือทัศนคติและความเข้าใจต่อโรคข้อ อาการเจ็บปวดตามข้อของคนสูงอายุเริ่มถูกบันทึกจำแนกแยกโรคชัดเจนขึ้น แพทย์ชาวฝรั่งเศสชื่อ กีโยม เดอ เบโย (Guillaume de Baillou) เป็นคนแรกที่บัญญัติคำว่า “รูมาติสม์” (rheumatism) ในคริสต์ศตวรรษที่ 16 เพื่อใช้อธิบายกลุ่มอาการปวดข้อเรื้อรังที่แตกต่างจากโรคเกาต์ เขาพยายามแยกโรคข้อชนิดต่าง ๆ ออกจากกันแทนที่จะเหมาเรียกทั้งหมดว่าไข้ข้อ ในหนังสือ Liber de Rheumatismo ของเขาได้บรรยายถึงอาการปวดบวมตามข้อทั่วร่างกาย (ซึ่งสมัยใหม่ทราบว่าเป็นโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์) แยกต่างหากจากโรคเกาต์ที่เป็นเฉพาะข้อเท้าและนิ้วเท้า นี่ถือเป็นก้าวเล็ก ๆ ที่ทำให้วงการแพทย์เริ่มจำแนกโรคข้อออกเป็นหลายประเภท ซึ่งในอนาคตก็จะสามารถระบุได้ว่าอาการข้อเข่าเสื่อมที่มักเกิดในผู้สูงวัยต่างจากข้ออักเสบรูมาตอยด์หรือเกาต์อย่างไร
ในยุคนี้ยังมีการแลกเปลี่ยนความรู้ทางการแพทย์ระหว่างโลกตะวันตกและตะวันออกมากขึ้น การแพทย์แผนจีนโบราณเช่นการฝังเข็มก็เป็นที่สนใจในยุโรปหลังมีบันทึกว่าชาวจีนใช้ฝังเข็มรักษาอาการปวดข้อเรื้อรังมานานนับพันปี (มีการอ้างถึงการฝังเข็มรักษาปวดข้อในคัมภีร์ “หวงดิเน่ยจิง” ของจีนตั้งแต่ก่อนคริสตกาล อย่างไรก็ดี การรักษาโรคข้อในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยายังคงเป็นการบรรเทาตามอาการ เช่น ใช้สมุนไพรหรือแช่น้ำแร่ตามธรรมชาติหากเข้าถึงได้ ความเข้าใจลึกซึ้งในกลไกโรคข้อเข่าเสื่อมยังมาไม่ถึงจุดที่จะแก้ไขที่ต้นเหตุ
ภาพประกอบของแพทย์จีนโบราณที่กำลังฝังเข็มรักษาโรคข้อเข่าเสื่อม
ยุควิทยาศาสตร์ (ศตวรรษที่ 17-18): เริ่มจำแนกโรคและการเยียวยา
เข้าสู่ช่วงศตวรรษที่ 17-18 ซึ่งอาจเรียกว่ายุคต้นวิทยาศาสตร์หรือยุคเหตุผลนิยม นักวิทยาศาสตร์อย่างเรเน่ เดการ์ตและฟรานซิส เบคอนวางรากฐานวิธีคิดแบบวิทยาศาสตร์ที่อาศัยเหตุผลและการพิสูจน์หลักฐาน ส่งผลให้การแพทย์ก้าวหน้าไปอีกขั้น แพทย์ยุคนี้เริ่มบันทึกรายละเอียดอาการและลักษณะภายนอกของโรคไว้อย่างเป็นระบบมากขึ้น มีการอธิบายความผิดปกติของข้ออย่างเจาะจงในงานเขียนต่าง ๆ หนึ่งในความก้าวหน้าสำคัญคือการจำแนกข้อเข่าเสื่อมออกจากโรคข้ออักเสบอื่นๆ ผ่านลักษณะเฉพาะบางประการ
ในปี ค.ศ.1710 แพทย์ชาวอังกฤษชื่อ วิลเลียม เฮเบอร์เดน (William Heberden) สังเกตเห็นปุ่มกระดูกเล็กๆ แข็งๆ ขนาดเท่าเมล็ดถั่วเกิดขึ้นที่ข้อต่อนิ้วมือส่วนปลายของคนไข้อาวุโสบ่อยครั้ง เขาบันทึกไว้อย่างน่าสนใจว่า “ตุ่มกระดูกแข็งเล็กๆ เหล่านี้ที่มักพบตรงข้อนิ้วใกล้ปลายนิ้วที่สุดคืออะไรหนอ? มันไม่เกี่ยวข้องกับโรคเกาต์ สิ่งที่เฮเบอร์เดนค้นพบต่อมาจึงถูกเรียกว่า ปุ่มเฮเบอร์เดน (Heberden’s nodes) ซึ่งเกิดจากกระดูกงอกในข้อต่อระหว่างกระดูกนิ้วส่วนปลาย อันเป็นลักษณะเฉพาะของโรคข้อเสื่อมที่นิ้วมือ ไม่ใช่โรคเกาต์อย่างที่หลายคนสับสนในสมัยนั้น การสังเกตนี้สำคัญตรงที่ชี้ให้เห็นว่าโรคข้อเสื่อมมีการเปลี่ยนแปลงของกระดูกที่ข้อต่อ (เช่น กระดูกงอกเป็นปุ่ม) ต่างจากโรคข้ออักเสบชนิดอื่น เฮเบอร์เดนจึงถือเป็นบุคคลแรก ๆ ที่ช่วยแยกแยะลักษณะของโรคข้อเข่าเสื่อมหรือข้อเสื่อมทั่วไปออกจากกลุ่มรูมาติกอื่น ๆ
อย่างไรก็ตาม แม้วงการแพทย์ยุคนี้จะเข้าใจโรคมากขึ้น แต่ด้านการรักษายังไม่พัฒนาเท่าความรู้พื้นฐาน ผู้ป่วยข้อเสื่อมในศตวรรษที่ 17-18 ยังคงต้องพึ่งการบรรเทาอาการแบบโบราณ เช่น กินเปลือกต้นวิลโลว์เพื่อลดปวด (ซึ่งวิทยาศาสตร์ยุคใหม่ทราบว่ามีสารซาลิซินช่วยลดการอักเสบ) หรือถ้าเป็นชนชั้นสูงก็เดินทางไปแช่น้ำแร่ตามสถานน้ำพุร้อนเพื่อบรรเทาปวด เช่น ตำนานเล่าว่า พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 2 แห่งอังกฤษ และชนชั้นสูงยุโรปนิยมเดินทางไปอาบน้ำแร่ที่เมืองบาธ (Bath) ซึ่งเป็นบ่อน้ำพุร้อนธรรมชาติที่ชาวโรมันค้นพบตั้งแต่โบราณ เพื่อรักษาอาการปวดข้อและโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ส่วนในฝรั่งเศส เจ้าชายทัลเลย์รอง (Charles Talleyrand) รัฐบุรุษคนสำคัญผู้มีความพิการเท้าเดินกระเผลก (Lame Devil) ก็ตกเป็นข่าวว่าท่านไปแช่น้ำแร่ที่เมืองบูร์บอง-ลาร์ชามโบลต์ (Bourbon-l’Archambault) ติดต่อกันถึง 30 ปีเพื่อบรรเทาอาการปวดข้อที่มาจากเท้าผิดรูปตั้งแต่กำเนิด สะท้อนให้เห็นว่าการรักษาข้อเข่าเสื่อมในยุคนั้นยังคงเน้นไปที่การพักผ่อนและทำให้ร่างกายสบายขึ้นมากกว่าจะรักษาที่ต้นเหตุจริงๆ
ช่วงปลายศตวรรษที่ 18 การแพทย์เริ่มมีทางเลือกแปลกใหม่บ้าง เช่น ในปี ค.ศ.1796 ซามูเอล ฮาห์เนมันน์ ได้เสนอกลวิธีรักษาแบบโฮมีโอพาธี (Homeopathy) ซึ่งเป็นการแพทย์ทางเลือกแนวคิดใหม่ในยุคนั้น แม้หลักการจะขัดกับวิทยาศาสตร์ (เชื่อว่าการเจือจางยาจะเพิ่มศักยภาพ) แต่บรรดาผู้ป่วยที่หมดหวังกับการแพทย์แผนปัจจุบันบางส่วนก็ลองใช้โฮมีโอพาธีเพื่อรักษาอาการข้อเรื้อรังด้วยเช่นกัน จะเห็นได้ว่าปลายยุคนี้ยังไม่มีการรักษาจำเพาะสำหรับโรคข้อเข่าเสื่อม ผู้คนยังคงใช้วิธีประคับประคองตามอาการเป็นหลัก ไม่ต่างจากสมัยหลายร้อยปีก่อนนัก
ยุคอุตสาหกรรมและการแพทย์สมัยใหม่ (ศตวรรษที่ 19-ต้น 20)
การปฏิวัติอุตสาหกรรมช่วงศตวรรษที่ 19 ไม่ได้เปลี่ยนแค่เทคโนโลยีการผลิต แต่ยังพลิกโฉมวงการแพทย์ด้วย ในด้านโรคข้อ กระบวนทัศน์ใหม่เกิดขึ้นเมื่อวิทยาศาสตร์สามารถส่องลึกเข้าไปในร่างกายมนุษย์ได้อย่างแท้จริง การค้นพบรังสีเอกซ์ (X-ray) ในปี ค.ศ.1895 โดยวิลเฮล์ม เรินต์เกน ทำให้แพทย์สามารถมองเห็นโครงสร้างภายในข้อเข่าได้เป็นครั้งแรกว่ากระดูกผิวข้อเข่าของผู้ป่วยข้อเสื่อมมีลักษณะอย่างไร ภาพถ่ายเอกซเรย์เผยให้เห็นช่องว่างระหว่างข้อเข่าแคบลงจากกระดูกอ่อนที่สึก และมีเดือยกระดูกงอก (osteophyte) เกิดขึ้นที่ขอบข้อ สิ่งเหล่านี้คือสัญญาณของโรคข้อเข่าเสื่อมที่สามารถสังเกตได้ชัดเจนด้วยเครื่องมือวิทยาศาสตร์ แพทย์ยุควิกตอเรียจึงเริ่มแยกแยะโรคข้อเสื่อมออกจากรูมาตอยด์ได้ชัดแจ้ง ก่อนหน้านั้นแพทย์มักเรียกรวม ๆ ว่า “ข้ออักเสบ” ไปหมด แต่เมื่อมีภาพเอกซเรย์ แพทย์อย่าง โจเอล โกลธ์เวท (Joel Goldthwait) ในปี ค.ศ.1895 สามารถจำแนกข้ออักเสบออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ “แบบฝ่อ” (atrophic) ซึ่งพบในคนหนุ่มสาวและมีหลายข้อ (ตรงกับโรครูมาตอยด์) และ “แบบงอกหนา” (hypertrophic) ที่เกิดกับข้อจำนวนน้อยในคนสูงอายุ (ตรงกับโรคข้อเสื่อม) การค้นพบนี้ทำให้วงการแพทย์ในปลายศตวรรษที่ 19 รับรองคำว่า Osteoarthritis หรือโรคข้อเสื่อม อย่างเป็นทางการ แพทย์ชาวอังกฤษ จอห์น เคนท์ สเปนเดอร์ เป็นผู้เสนอใช้คำว่า “osteoarthritis” ครั้งแรกในปี ค.ศ.1889 และอีกหนึ่งปีถัดมา อาร์ชิบัลด์ เอ็ดเวิร์ด การ์รอด ก็ประกาศใช้คำนี้อย่างแพร่หลายในวงวิชาการแพทย์ หมดยุคที่อาการปวดข้อเรื้อรังของคนแก่จะถูกเหมารวมว่าเป็นโรคเกาต์หรือรูมาติซึ่มไปเสียทั้งหมด ในที่สุด “ข้อเข่าเสื่อม” ก็ได้ถูกยอมรับว่าเป็นโรคเฉพาะที่มีสาเหตุและพยาธิสภาพของมันเอง
ด้านการรักษา ในที่สุดศาสตร์เคมีสมัยใหม่ก็สานต่อภูมิปัญญาเปลือกต้นวิลโลว์ของคนโบราณ ปี ค.ศ.1897 นักเคมีของบริษัทยาไบเออร์ประสบความสำเร็จในการสังเคราะห์ยา แอสไพริน (acetylsalicylic acid) ได้เป็นครั้งแรก ซึ่งกลายเป็นยารักษาอาการปวดและลดการอักเสบที่พลิกโฉมหน้าการแพทย์ไปตลอดกาล ยาเม็ดแอสไพรินถูกวางจำหน่ายในปี ค.ศ.1899 และนิยมใช้ไปทั่วโลกในการบรรเทาปวดข้อและลดไข้ ผู้ป่วยข้อเข่าเสื่อมในยุคนั้นที่เคยต้องทนปวดหรือพึ่งยาสมุนไพรที่ประสิทธิภาพจำกัด เริ่มมีทางเลือกใหม่เป็นยาแผนปัจจุบันอย่างแอสไพรินที่ใช้สะดวกและได้ผลชัดเจนกว่า นับเป็นวิธีรักษาข้อเข่าเสื่อมเชิงประจักษ์วิธีแรก ๆ ที่ช่วยให้คุณภาพชีวิตผู้ป่วยดีขึ้นจริง
นอกจากยาแก้ปวดแล้ว ยุคปลายศตวรรษที่ 19 ยังเห็นความพยายามในการรักษาข้อเสื่อมด้วยการผ่าตัดบ้างแล้ว มีบันทึกว่าศัลยแพทย์ชาวอังกฤษชื่อ เซอร์วิลเลียม แมคอีเวน เคยทำการผ่าตัดเปิดข้อเข่า (arthrotomy) ในผู้ป่วยข้อเข่าเสื่อมรุนแรงเพื่อเอาเศษกระดูกงอกและเศษกระดูกอ่อนที่หลุดออก และปรับพื้นผิวข้อให้เรียบ หวังลดการเจ็บปวด (เรียกกันภายหลังว่า “การผ่าตัดล้างข้อ”) รวมถึงการผ่าตัดเชื่อมข้อเข่าให้ติดกัน (arthrodesis) เพื่อหยุดการเคลื่อนไหวของข้อที่ปวดมาก ๆ แต่แน่นอนว่าวิธีการเหล่านี้ยังหยาบและมีความเสี่ยงสูง ผู้ป่วยหลายรายอาจพิการเดินไม่ได้ถาวรหลังผ่าตัด ความสำเร็จในการรักษาจึงยังจำกัดอยู่มาก
กล่าวโดยสรุป ในช่วงก้าวเข้าสู่ศตวรรษที่ 20 มนุษย์เรามีทั้งความรู้และเครื่องไม้เครื่องมือที่จะเผชิญกับโรคข้อเข่าเสื่อมดีขึ้นกว่าเดิมมาก เรารู้แล้วว่าสาเหตุหลักมาจากการเสื่อมสึกของกระดูกอ่อนและการอักเสบจากการเสียดสีของข้อ เรามียาแก้ปวดลดอักเสบอย่างแอสไพรินไว้ใช้ และมีรังสีเอกซ์ไว้ตรวจวินิจฉัยระดับความรุนแรงของโรคได้ สิ่งเหล่านี้ปูทางไปสู่แนวทางการดูแลรักษาแบบใหม่ ๆ ที่จะเกิดขึ้นในศตวรรษที่ 20
ยุคปัจจุบัน: นวัตกรรมเพื่อข้อเข่าและคุณภาพชีวิต
เข้าสู่ยุคปัจจุบันช่วงกลางศตวรรษที่ 20 เป็นต้นมา เทคโนโลยีทางการแพทย์ก้าวหน้าแบบก้าวกระโดด การรักษาโรคข้อเข่าเสื่อมได้วิวัฒนาการไปจนถึงขั้นที่คนไข้สามารถกลับมาเดินเหินได้แทบเป็นปกติแม้ข้อเข่าจะสึกหรอไปมาก ในทศวรรษที่ 1950 นักวิทยาศาสตร์ค้นพบยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ (corticosteroids) ซึ่งสามารถฉีดเข้าไปในข้อเข่าเพื่อลดการอักเสบและอาการปวดได้ชั่วคราว วิธีนี้กลายเป็นอีกเครื่องมือหนึ่งที่แพทย์ใช้ช่วยผู้ป่วยข้อเข่าเสื่อมขั้นรุนแรงเป็นครั้งคราวเมื่ออาการกำเริบหนัก แม้การฉีดยาจะไม่แก้ปัญหาระยะยาวแต่ก็ช่วยให้ผู้ป่วยใช้ชีวิตได้สบายขึ้น
จุดเปลี่ยนอันยิ่งใหญ่จริง ๆ ในการรักษาเกิดขึ้นในปี ค.ศ.1968 เมื่อนายแพทย์ จอห์น อินซอลล์ และคณะ ได้ทำการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม (Total Knee Replacement) สำเร็จเป็นครั้งแรกในโลก การผ่าตัดครั้งบุกเบิกนี้เปิดศักราชใหม่ให้กับผู้ป่วยข้อเข่าเสื่อมระยะท้ายที่เคยสิ้นหวัง ช่วงแรกๆ ข้อเข่าเทียมยังทำจากโลหะและพลาสติกแบบง่าย ๆ ผู้ป่วยอาจยังเคลื่อนไหวได้ไม่ดีนัก แต่นับแต่นั้นเป็นต้นมา เทคโนโลยีข้อเทียมก็พัฒนาอย่างรวดเร็ว วัสดุสังเคราะห์ที่ใช้ทำข้อมีความทนทานและลื่นคล้ายผิวข้อธรรมชาติมากขึ้น รูปทรงของข้อเทียมถูกออกแบบให้เข้ากับกายวิภาคของมนุษย์ยิ่งขึ้น จนปัจจุบันการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่ากลายเป็นหัตถการมาตรฐานสำหรับผู้ป่วยข้อเข่าเสื่อมขั้นรุนแรงที่รักษาด้วยยาและกายภาพไม่ได้ผลแล้ว โดยถือเป็นหนึ่งในการผ่าตัดที่ประสบความสำเร็จที่สุดอย่างหนึ่งในวงการแพทย์ ปัจจุบันมีการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าในสหรัฐอเมริกามากกว่า 700,000 รายต่อปีเลยทีเดียว ผู้ป่วยสูงอายุจำนวนมากที่เคยต้องนั่งรถเข็นเพราะข้อเข่าเสื่อม ก็สามารถกลับมาเดินได้อีกครั้งหลังเปลี่ยนข้อเทียม
แม้การผ่าตัดเปลี่ยนข้อจะเป็นพระเอกของยุคปัจจุบัน แต่ในผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่ยังอาการไม่รุนแรงถึงขั้นต้องผ่าตัด แพทย์ก็มีแนวทางดูแลแบบองค์รวมเพื่อชะลอการเสื่อมและบรรเทาปวดให้ใช้ชีวิตได้ใกล้เคียงปกติที่สุด แนวทางเหล่านี้รวมถึงการทำกายภาพบำบัดบริหารกล้ามเนื้อรอบเข่าให้แข็งแรงเพื่อพยุงข้อเข่า, การปรับกิจกรรมการใช้ชีวิตหลีกเลี่ยงท่าที่ลงน้ำหนักเข่ามากเกินไป, การใช้อุปกรณ์ช่วยเดินเช่นไม้เท้าหรือสนับเข่าเพื่อลดแรงกระแทกข้อ, และการควบคุมน้ำหนักไม่ให้อ้วนเกินไป (เพราะน้ำหนักตัวที่เกินจะเพิ่มแรงกดที่ข้อเข่าหลายเท่าเวลาเดิน ส่งผลให้ข้อเข่าเสื่อมเร็วยิ่งขึ้น) นอกจากนี้มียารุ่นใหม่ๆ ในกลุ่มยาต้านการอักเสบแบบไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) เช่น ไอบูโพรเฟนและนาโปรเซน ซึ่งถูกพัฒนาขึ้นในช่วงทศวรรษ 1960-1970 ยาเหล่านี้ใช้ลดปวดข้อได้ผลดีและผลข้างเคียงน้อยกว่าแอสไพริน จึงกลายเป็นยาหลักที่แพทย์สั่งให้ผู้ป่วยข้อเข่าเสื่อมใช้เป็นประจำเมื่อมีอาการปวด นวัตกรรมอื่น ๆ ที่ถูกนำมาใช้รวมถึงการฉีดสารหล่อลื่นข้อ (Hyaluronic acid) เข้าไปในเข่าเพื่อเพิ่มความลื่นและลดอาการฝืดชั่วคราว และการใช้คลื่นวิทยุหรือเลเซอร์ความถี่สูงช่วยบรรเทาอาการปวด
ในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา วิทยาศาสตร์การแพทย์ยังคงค้นหาแนวทางใหม่ ๆ เพื่อรับมือกับโรคข้อเข่าเสื่อมอย่างยั่งยืน มีความพยายามพัฒนายาที่ออกฤทธิ์ยับยั้งกระบวนการเสื่อมของกระดูกอ่อน (disease-modifying OA drugs) แม้ขณะนี้จะยังไม่มียาใดพิสูจน์ผลได้ชัดเจน นอกจากนี้ยังมีการวิจัยการใช้สเต็มเซลล์และวิศวกรรมเนื้อเยื่อเพื่อซ่อมสร้างกระดูกอ่อนที่สึกกร่อน แต่ก็ยังอยู่ในขั้นทดลอง แนวคิดเรื่องการป้องกันโรคได้รับความสนใจมากขึ้น เช่น การรณรงค์ให้ออกกำลังกายพอดีๆ อย่างสม่ำเสมอเพื่อลดน้ำหนักและเสริมสร้างกล้ามเนื้อ พยุงข้อเข่าให้แข็งแรงตั้งแต่ก่อนจะเกิดโรค ในภาพรวม การดูแลผู้ป่วยข้อเข่าเสื่อมยุคปัจจุบันเน้นไปที่การปรับพฤติกรรมร่วมกับการรักษาทางการแพทย์ที่เหมาะสมแต่เนิ่นๆ เพื่อชะลอความเสื่อมและหลีกเลี่ยงภาวะแทรกซ้อน
จากนิทานการเดินทางผ่านกาลเวลาของโรคข้อเข่าเสื่อมตลอด 1,000 ปีที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่าวิวัฒนาการของทั้งโรคและการรักษานั้นก้าวหน้าขึ้นเรื่อย ๆ จากที่ครั้งหนึ่งผู้คนต้องทนทุกข์กับความเจ็บปวดโดยไม่เข้าใจสาเหตุ ใส่ความเชื่อไสยศาสตร์และธาตุทั้งสี่เข้ามาอธิบาย วันนี้เรามีทั้งความรู้และเครื่องมือแพทย์ทันสมัยที่ทำให้ผู้ป่วยข้อเข่าเสื่อมสามารถมีชีวิตอย่างมีคุณภาพได้จนถึงวัยชรา โรคข้อเข่าเสื่อมอาจจะยังไม่สามารถป้องกันหรือรักษาให้หายขาดได้ แต่เราก็ไม่หยุดยั้งที่จะเรียนรู้มันให้มากขึ้น ทุกวันนี้งานวิจัยใหม่ ๆ ยังคงค้นหาวิธีฟื้นฟูกระดูกอ่อนหรือยับยั้งกระบวนการเสื่อมอย่างต่อเนื่อง เหมือนการผจญภัยที่เรื่องราวยังไม่จบสิ้น เชื่อว่าในอนาคตอาจมีบทใหม่ที่น่าตื่นเต้นของ “นิทาน” เรื่องข้อเข่าเสื่อมให้เราได้ติดตามกันต่อไป ไม่แน่ว่าวันหนึ่งเราอาจค้นพบวิธีที่จะทำให้ข้อเข่ากลับมาอ่อนเยาว์ได้อีกครั้ง ซึ่งนั่นจะถือเป็นบทสรุปที่มีความสุขที่สุดสำหรับตำนาน 1,000 ปีของโรคข้อเข่าเสื่อมนี้ก็เป็นได้
แม้การผ่าตัดเปลี่ยนข้อจะเป็นพระเอกของยุคปัจจุบัน แต่ในผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่ยังอาการไม่รุนแรงถึงขั้นต้องผ่าตัด แพทย์ก็มีแนวทางดูแลแบบองค์รวมเพื่อชะลอการเสื่อมและบรรเทาปวดให้ใช้ชีวิตได้ใกล้เคียงปกติที่สุด แนวทางเหล่านี้รวมถึงการทำกายภาพบำบัดบริหารกล้ามเนื้อรอบเข่าให้แข็งแรงเพื่อพยุงข้อเข่า, การปรับกิจกรรมการใช้ชีวิตหลีกเลี่ยงท่าที่ลงน้ำหนักเข่ามากเกินไป, การใช้อุปกรณ์ช่วยเดินเช่นไม้เท้าหรือสนับเข่าเพื่อลดแรงกระแทกข้อ, และการควบคุมน้ำหนักไม่ให้อ้วนเกินไป (เพราะน้ำหนักตัวที่เกินจะเพิ่มแรงกดที่ข้อเข่าหลายเท่าเวลาเดิน ส่งผลให้ข้อเข่าเสื่อมเร็วยิ่งขึ้น) นอกจากนี้มียารุ่นใหม่ๆ ในกลุ่มยาต้านการอักเสบแบบไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) เช่น ไอบูโพรเฟนและนาโปรเซน ซึ่งถูกพัฒนาขึ้นในช่วงทศวรรษ 1960-1970 ยาเหล่านี้ใช้ลดปวดข้อได้ผลดีและผลข้างเคียงน้อยกว่าแอสไพริน จึงกลายเป็นยาหลักที่แพทย์สั่งให้ผู้ป่วยข้อเข่าเสื่อมใช้เป็นประจำเมื่อมีอาการปวด นวัตกรรมอื่น ๆ ที่ถูกนำมาใช้รวมถึงการฉีดสารหล่อลื่นข้อ (Hyaluronic acid) เข้าไปในเข่าเพื่อเพิ่มความลื่นและลดอาการฝืดชั่วคราว และการใช้คลื่นวิทยุหรือเลเซอร์ความถี่สูงช่วยบรรเทาอาการปวด
ในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา วิทยาศาสตร์การแพทย์ยังคงค้นหาแนวทางใหม่ ๆ เพื่อรับมือกับโรคข้อเข่าเสื่อมอย่างยั่งยืน มีความพยายามพัฒนายาที่ออกฤทธิ์ยับยั้งกระบวนการเสื่อมของกระดูกอ่อน (disease-modifying OA drugs) แม้ขณะนี้จะยังไม่มียาใดพิสูจน์ผลได้ชัดเจน นอกจากนี้ยังมีการวิจัยการใช้สเต็มเซลล์และวิศวกรรมเนื้อเยื่อเพื่อซ่อมสร้างกระดูกอ่อนที่สึกกร่อน แต่ก็ยังอยู่ในขั้นทดลอง แนวคิดเรื่องการป้องกันโรคได้รับความสนใจมากขึ้น เช่น การรณรงค์ให้ออกกำลังกายพอดีๆ อย่างสม่ำเสมอเพื่อลดน้ำหนักและเสริมสร้างกล้ามเนื้อ พยุงข้อเข่าให้แข็งแรงตั้งแต่ก่อนจะเกิดโรค ในภาพรวม การดูแลผู้ป่วยข้อเข่าเสื่อมยุคปัจจุบันเน้นไปที่การปรับพฤติกรรมร่วมกับการรักษาทางการแพทย์ที่เหมาะสมแต่เนิ่นๆ เพื่อชะลอความเสื่อมและหลีกเลี่ยงภาวะแทรกซ้อน
จากเรื่องราวการเดินทางผ่านกาลเวลาของโรคข้อเข่าเสื่อมตลอด 1,000 ปีที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่าวิวัฒนาการของทั้งโรคและการรักษานั้นก้าวหน้าขึ้นเรื่อย ๆ จากที่ครั้งหนึ่งผู้คนต้องทนทุกข์กับความเจ็บปวดโดยไม่เข้าใจสาเหตุ ใส่ความเชื่อไสยศาสตร์และธาตุทั้งสี่เข้ามาอธิบาย วันนี้เรามีทั้งความรู้และเครื่องมือแพทย์ทันสมัยที่ทำให้ผู้ป่วยข้อเข่าเสื่อมสามารถมีชีวิตอย่างมีคุณภาพได้จนถึงวัยชรา โรคข้อเข่าเสื่อมอาจจะยังไม่สามารถป้องกันหรือรักษาให้หายขาดได้ แต่เราก็ไม่หยุดยั้งที่จะเรียนรู้มันให้มากขึ้น ทุกวันนี้งานวิจัยใหม่ ๆ ยังคงค้นหาวิธีฟื้นฟูกระดูกอ่อนหรือยับยั้งกระบวนการเสื่อมอย่างต่อเนื่อง เหมือนการผจญภัยที่เรื่องราวยังไม่จบสิ้น เชื่อว่าในอนาคตอาจมีบทใหม่ที่น่าตื่นเต้นของการรักษาโรคข้อเข่าเสื่อมให้เราได้ติดตามกันต่อไป ไม่แน่ว่าวันหนึ่งเราอาจค้นพบวิธีที่จะทำให้ข้อเข่ากลับมาอ่อนเยาว์ได้อีกครั้ง ซึ่งนั่นจะถือเป็นบทสรุปที่มีความสุขที่สุดสำหรับตำนาน 1,000 ปีของโรคข้อเข่าเสื่อมนี้ก็เป็นได้
: นพ.ศุภวัทน์ ตันติถาวรวัฒน์ หมอกระดูก สมุทรปราการ